โอกาสจะเป็นของผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ แน่นอนว่าการสมัครงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ไม่ได้มีเฉพาะท่านแต่เพียงผู้เดียว ท่านจะต้องเจอกับคู่แข่งที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตจบใหม่ ผู้กำลังโยกย้ายงาน หรือผู้มากประสบการณ์ในงานด้านนั้น ๆ ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นในการสมัครงาน เริ่มต้นจากการเตรียมพร้อมก่อนการสมัครงานในทุก ๆ ด้าน เช่น ค้นพบตัวตนของเอง ศึกษาข้อมูลอาชีพที่ท่านสนใจ มองหาองค์กรที่ท่านอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย เป็นต้น เมื่อท่านเตรียมตัวอย่างดี โอกาสที่ท่านจะประสบความสำเร็จในการหางานอย่างแน่นอน!!

“3 KNOW” รู้ก่อนเตรียมตัวก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง
Know Yourself
เราควรรู้จักตนเองให้รอบด้าน ทั้งความสนใจในอาชีพ ทักษะความสามารถ รวมทั้ง ค่านิยมของตนเองว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจเลือกอาชีพซึ่งสิ่งเหล่านี้จะแสดงออกมาจากสิ่งที่ท่านชอบ สิ่งที่ทำได้ดี หรือรู้จากการแบบทดสอบความสนใจในอาชีพ ทักษะ บุคลิกภาพและค่านิยมถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีทางหนึ่งที่จะทำให้ท่านค้นพบตัวตนของท่านมากขึ้นและรู้จักอาชีพที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วยเนื่องจากผลการทดสอบจะชี้ให้ท่านเห็นว่าอาชีพใดที่ตรงกับท่านมากที่สุด

Know How
เมื่อท่านทราบแล้วว่าท่านมีทักษะ ความสนใจในอาชีพอะไร ด่านต่อไปท่านเตรียมลุยหาช่องทางการสมัครงาน ซึ่งช่องทางหางานจะช่วยให้ท่านคัดกรององค์กรที่ท่านสนใจ และเป็นโอกาสทองที่ช่วยให้ท่านคว้างานได้ในที่สุด โดยใช้ทริคการหางานง่าย ๆ ดังนี้
- สมัครงานในตำแหน่งที่เหมาะกับความสามารถ ทักษะ และคุณสมบัติของท่าน
- สมัครงานในตำแหน่งที่ท่านสนใจ ในองค์กรที่ท่านต้องการ ทั้งในรูปแบบ walk-in หรือสมัครผ่านเว็บไซต์ขององค์กร
- สมัครงานผ่านแพลตฟอร์มจัดหางาน โดยที่ท่านสามารถอัพโหลดรีซูเม่ของท่านผ่านแพลตฟอร์มได้เลย เช่น JobDB Linked in Jobbkk ไทยมีงานทำ.com เป็นต้น
- ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์ต่อการสมัครงาน เช่น การกดถูกใจเพจรับสมัครงานหรือหางานด้านต่าง ๆ เป็นต้น
- ติดตามข่าวสารการสมัครสอบ การสอบคัดเลือกต่าง ๆ ตามช่องทางประชาสัมพันธ์ เพราะบางตำแหน่งต้องใช้ผลสอบความสามารถเฉพาะทาง
ทริคเหล่านี้จะทำให้ท่านคว้างาน ในตำแหน่งที่ท่านต้องการ โดยเฉพาะในปัจจุบันท่านสามารถใช้วิธีการเหล่านี้ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ๆ ในคลิกเดียว

Know to do “Good Resume”
เรซูเม่ (Resume) เปรียบเสมือนโอกาสด่านแรกที่จะนำพาให้ท่านได้ก้าวเข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เพราะเป็นการเขียนสรุปประวัติส่วนตัว ความสามารถ การศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ท่านสนใจไว้ในที่เดียว ดังนั้น การเรียนรู้วิธีการเขียน Resume อย่างไรให้เข้าตากรรมการ เพื่อนำเสนอคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ท่านมี สำหรับใช้ยื่นประกอบการพิจารณาสมัครงานให้ได้ในตำแหน่งที่ต้องการ ผ่าน “หลัก 3G” ดังนี้

“3 G” เขียน Resume ยังไงให้ปัง
Good Design รูปแบบดี
ในการทำเรซูเม่ท่านควรคำนึงถึงการบริหารพื้นที่การจัดวางหน้ากระดาษ และหมวดหมู่ของข้อมูลไว้อย่างเป็นระเบียบ ขนาดตัวอักษรไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป เลือกใช้สีที่ไม่ฉูดฉาดเกินไปจนทำให้บดบังความโดดเด่นของตัวอักษร และควรใช้รูปภาพที่เป็นทางการ เช่น รูปติดบัตร
Good Information เนื้อหาได้
ข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตามความเป็นจริง และเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ท่านต้องการทำ โดยเฉพาะในส่วนของรายละเอียดการติดต่อกลับให้ชัดเจน ซึ่งข้อมูลที่จะปรากฏบนเรซูเม่ ควรประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยสังเขป เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ E-mail และเบอร์โทรศัพท์, ข้อมูลประวัติการศึกษา เพื่อพิจารณาถึงความรู้ความสามารถที่ท่านมี, ข้อมูลทักษะและความสามารถพิเศษด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะด้านภาษา, การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์, ใบอนุญาตขับรถ, ทักษะทางวิชาชีพ รวมถึงใบประกาศนียบัตรด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่ท่านสมัคร, ข้อมูลประสบการณ์การทำงานหรือการฝึกงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านเคยทำอะไรมาบ้าง ตลอดจนการเข้าร่วมกิจกรรมอาสา ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะช่วยส่งเสริมให้เรซูเม่ของท่านมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
Good Impression ความประทับใจเด่น
เชื่อหรือไม่ว่าท่านสามารถได้รับคัดเลือกเข้าทำงานด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว เรซูเม่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็นตัวท่าน รวมไปถึงความใส่ใจที่ท่านมีต่อตำแหน่งและองค์กรนั้น ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “โอกาสมักมาพร้อมกับความประทับใจแรกเสมอ” ดังนั้น ท่านควรปรับเรซูเม่ให้เหมาะสมกับงาน ไม่ควรใช้เรซูเม่ฉบับเดิมกับทุกๆ องค์กร เพราะในแต่ละองค์กรล้วนมีคุณสมบัติที่ต้องการ รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันออกไป แม้ว่าท่านจะต้องการใช้เรซูเม่ฉบับดังกล่าวยื่นสมัครงานในตำแหน่งเดียวกัน

เมื่อท่านเลือกอาชีพที่เหมาะสมแล้ว จนมาถึงการได้รับการติดต่อจากองค์กรหรือบริษัทต่างๆที่ท่านได้ยื่นResumeไป ก้าวต่อไปคือการสัมภาษณ์งานซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่จะตัดสินว่าท่านจะได้ทำงานที่ท่านต้องการหรือไม่ ดังนั้นการเตรียมพร้อมและรู้จักแนวทางการสัมภาษณ์ที่มีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การสัมภาษณ์งานของท่านผ่านฉลุย!!!

“6 Be” เคล็ดไม่ลับสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ผ่านฉลุย
Be Knowing
รอบรู้ข้อมูลบริษัทและตำแหน่งที่สมัครเป็นอย่างดี
ศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและตำแหน่งหน้าที่ของตนเองให้มากที่สุดก่อนที่จะเข้ารับการสัมภาษณ์ เช่น ข้อมูลวิสัยทัศน์ พันธกิจหรือเป้าหมายขององค์กร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หาได้จากหน้าเว็บไซต์ประวัติและความเป็นมาของบริษัท เพื่อให้สามารถตอบถามที่เกี่ยวข้องกับองค์กรได้อย่างมั่นใจ เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจและการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีก่อนเข้ารับการสัมภาษณ์
Be confident and humble
มั่นใจแต่ไม่ลืมที่จะถ่อมตนและเป็นตัวของตัวเอง
เริ่มจากการแนะนำตัวให้น่าประทับใจเพื่อสร้างFirst impressionที่ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว การกล่าวทักทายสวัสดีด้วยการยกมือไหว้ก่อนเริ่มการสนทนาถือเป็นการให้เกียรติผู้สัมภาษณ์อย่างหนึ่ง เมื่อเริ่มการแนะนำตัวควรแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง อย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ จากนั้นเมื่อเริ่มมีการสัมภาษณ์สำคัญคือการตอบคำถามด้วยความมั่นใจแต่ไม่ลืมที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยการพูดจามีหางเสียง(ค่ะ/ครับ)สิ่งเหล่านี้จช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีแก่ท่าน และช่วยให้ผู้สัมภาษณ์เห็นถึงความมั่นใจในตัวท่าน
Be look proper
แต่งกายเหมาะสม
บุคลิกภาพและลักษณะภายนอกเป็นสิ่งแรกที่ผู้สัมภาษณ์มองเห็น ดังนั้นการแต่งกายทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ต้องดูดีและเหมาะสมเอาไว้ก่อน รวมถึงความสะอาดในส่วนต่างๆของร่างกายต้องห้ามละเลยเป็นอันขาด ไปจนถึงการเลือกน้ำหอมที่หลายคนอาจมองข้าม เพื่อแสดงให้เห็นถึงการรู้จักดูแลตัวเองและความแน่วแน่ตั้งใจที่อยากทำงานในองค์กรที่ท่านสัมภาษณ์ แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมนั่นคือการแต่งกายให้เหมาะสมกับธุรกิจที่คุณจะสมัคร
Be punctual
ความตรงต่อเวลาเป็นคุณสมบัติสำคัญของมืออาชีพ
การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพ ถ้าท่านเป็นคนไม่ตรงเวลาไม่ว่าท่านจะเก่ง มีความสามารถหรือมีคุณสมบัติเพียบพร้อมกว่าใครแต่ปราศจากความตรงต่อเวลาคุณสมบัติดังกล่าวก็ไร้ความหมาย ดังนั้นในวันสัมภาษณ์การมาก่อนเวลาเล็กน้อย 15-30 นาทีเพื่อมาเตรียมความพร้อมและความคุ้นเคยกับสถานที่ ไม่ให้เกิดอาการประหม่า และหลีกเลี่ยงปัญหาจราจรที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และเหลือเวลาในการสำรวจความเรียบร้อยของตนเองก่อนเข้าสัมภาษณ์อีกด้วย
Be good listener
ฟังให้ดีก่อนตอบตอบอย่างชาญฉลาด
ก่อนการสัมภาษณ์ท่านควรรวบรวมสติ เพื่อลดอาการตื่นเต้นระหว่างการตอบคำถาม พึงระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการสัมภาษณ์คือ การเป็นผู้ฟังที่ดี ท่านจะตอบคำถามได้ดีต้องเริ่มจากการฟังที่ดี ฟังคำถามจากผู้สัมภาษณ์ให้จนจบประโยค จับประเด็นสำคัญเพื่อให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้ถาม ก่อนตอบคำถามท่านไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อย ๆ คิด ไตร่ตรองก่อนตอบ โดยตอบคำถามด้วยความจริง สั้น กระชับ ได้ใจความ พร้อมให้เหตุผลประกอบ หรือยกตัวตัวอย่างให้ผู้ถามเข้าใจได้ง่ายขึ้น และสามารถเชื่อมโยงกับตำแหน่งงานหรือองค์กรอีกด้วย หลีกเหลี่ยงการตอบคำถามที่ธรรมดาเกินไป เช่น “ใช่ค่ะ”/ “ไม่ใช่ค่ะ” หรือหลีกหลี่ยงการพูดวิจารณ์ในเชิงลบ เพราะในระหว่างการสัมภาษณ์ทุก ๆ คำตอบของท่านคือ ทัศนคติที่สะท้อนตัวตนของท่านด้วยเช่นกัน
ท่านควรเตรียมตัวทั้งการตอบคำถาม และการถามคำถาม เพื่อแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าท่านมีการเตรียมความพร้อม มีปฏิภาณไหวพริบ ซึ่งสามารถทำให้ท่านเป็นตัวเลือกที่โดดเด่น มีโอกาสสูงที่ท่านจะได้ร่วมงานกับองค์กร
Be good asking
ถามอย่างชาญฉลาด
ท้ายที่สุดแล้ว ท่านจะถูกถามด้วยคำถามที่ว่า “คุณมีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมไหม” ซึ่งท่านควรเตรียมคำถามเพื่อที่แสดงถึงความกระตือรือร้น ความสนใจในการทำงานร่วมกัน โดยคำถามที่ท่านต้องเตรียมควรเป็น “คำถามที่ดี” โดยเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานหรือองค์กร เช่น ลักษณะงาน ความรับผิดชอบ วัฒนธรรมองค์กร เป็นต้น เพื่อช่วยให้ท่านเข้าใจในตำแหน่งหรือองค์กรมากยิ่งขึ้น ตลอดจนทำให้ตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ท่านต้องการทราบ โดยหลีกเหลี่ยงการถามในสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์พูดไปแล้ว หรือถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม
ตัวอย่างคำถามที่ควรถาม เช่น
- วัฒนธรรมขององค์กรเป็นอย่างไร?
- หน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่งนี้มีอะไรบ้าง?
- โอกาสความก้าวหน้าในตำแหน่งนี้เป็นอย่างไร?
ไม่เพียงแต่การตอบคำถามที่ดีจะทำให้ท่านได้งาน แต่การถามคำถามที่ดีก็เปิดโอกาสให้ท่านได้งานในตำแหน่งที่ท่านปรารถนา ดังนั้น ท่านควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งการตอบคำถาม และการถามคำถาม เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถกลายเป็นดาวเด่นในระหว่างการสัมภาษณ์งาน
